ราคาหุ้น ปตท. | การขายหุ้น IPO ปตท. 2544 กับคำถามที่สังคมสงสัย

    ในเดือนพฤศจิกายน 2544 ได้มีการจัดจำหน่ายหุ้น บมจ. ปตท. หลังจากที่แปรสภาพมาจาก การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย จำนวน 920,000,000 หุ้น ในราคาหุ้น ปตท. หุ้นละ 35 บาท รวมมูลค่า 32,200,000,000 บาท ซึ่งมีประเด็นในกระบวนการจัดจำหน่ายหุ้น ปตท. ที่ถูกโจมตีมากมาตลอด มีอยู่ 3 ประเด็น ดังนี้

1.     ราคาหุ้น ปตท. ที่ขาย หุ้นละ 35 บาทนั้น เป็นราคาที่ถูกเกินไป

2.     ในการจองซื้อ ในส่วนที่ขายให้ประชาชนทั่วไปนั้น ขายหมดใน 1 นาที 17 วินาที มีประชาชนไปเข้าแถวแล้วจองไม่ได้เป็นจำนวนมาก

3.     ในรายชื่อผู้ได้รับการจัดสรร มีรายชื่อของผู้ที่เป็นนักการเมือง และผู้ที่เกี่ยวข้อง เป็นญาติ เป็นพรรคพวกกับผู้มีอำนาจอยู่หลายคน

สาเหตุที่ ปตท. เข้าระดมทุนจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ

    ในปี 2544 ภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยยังไม่ฟื้นจากวิกฤตดี โดยเฉพาะตลาดทุน ตลาดหุ้น ต้นปี 2544 ดัชนี SET Index ตกต่ำอย่างมาก อยู่ที่ 304 โดยดัชนี SET เคยสูงสุดอยู่ที่ 1,700 ในปี 2536 ต่อมาปี2539 ดัชนีลงมาอยู่ที่ 832 และสิ้นปี2540 หลังวิกฤติเศรษฐกิจ ก็ตกลงมาอยู่ที่ 400 มาตลอด ซึ่งปี 2544 ก่อนการขายหุ้นนั้น ปตท. มีวอลุ่มเฉลี่ยแค่ วันละ 5,000 ล้านบาท ในขณะที่ Market Cap 1.5 ล้านๆบาท ปัจจุบัน SET Index อยู่ที่ 1,365 มีวอลลุ่มซื้อขายวันละ 30,000 ล้านบาท และ Market Cap 12 ล้านๆบาท

    ในปี 2541 KBANK SCB และ BBL ได้มีการเสนอขายหุ้น IPO เพิ่มทุน เพื่อแก้ปัญาวิกฤติในขณะนั้น รวม 110,000 ล้าน หลังจากนั้นหุ้นก็ตกลง ผู้จองซึ่งส่วนใหญ่เป็นต่างประเทศต่างขาดทุนกันถ้วนหน้า ทำให้หุ้นเพิ่มทุนรวมทั้ง IPO ของตัวอื่นๆ แทบจะขายไม่ได้เลย ซึ่งผู้จองซื้อหุ้น ในช่วงเวลานั้นต่างขาดทุนจากการจองซื้อหุ้นกันตลอดมา โดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจ

กลต.เคยบังคับให้แบ่งส่วนการจองซื้อหุ้น IPO 30%  แก่บุคคลทั่วไป ปรากฎว่า เคยเปิดการจองหุ้น IPO ที่ศูนย์สิริกิตทั้งวัน มีคนมาจองไม่กี่สิบคน กลต.ต้องยกเลิกกฎดังกล่าวไป

ราคาหุ้น ปตท. กับสาเหตุที่ต้องจำหน่ายหุ้น ปตท.ในช่วงเวลานั้น

·         ปตท. ต้องการเงินทุน เพื่อไปแก้ไขปรับสถานะการเงินบริษัทในเครือทั้งหลาย

·         ปตท. มีโอกาสที่จะได้ลงทุนในอุตสาหกรรมการกลั่น และปิโตรเคมีที่บอบช้ำหนัก หลังวิกฤติ ทำให้ราคาถูก อีกทั้งรัฐบาลไม่สามารถจัดสรรงบประมาณมาให้ได้ กับทั้ง

·         รัฐบาลหวังว่า การจำหน่ายหุ้น IPO ปตท.ที่มีขนาดใหญ่ จะปลุกความสนใจในตลาดหุ้นไทยให้กลับมาได้

ช่วงเดือนสิงหาคม ปี 2544 เริ่มมีการออกข่าวว่า ปตท.จะเข้าตลาดฯ โดยมีผู้ร่วมจัดการจำหน่ายหุ้น ได้แก่ 3 บริษัทไทย คือ บล.ภัทร บล.ไทยพาณิชย์ และ บล.ทิสโก้ และ อีก 3 Investment Bank ระดับโลก คือ CSFB. Lehman Brothers และ Merrill Lynch เริ่มออก Research จนดัชนี SET Index ปรับตัวกว่า 10% จาก 300 ในช่วงต้นเดือนสิงหา ปี 2544 มาที่ 340 ในช่วงต้นเดือนกันยายน ปี 2544

    แต่วันที่ 11 กันยา (9/11) ก็เกิดเหตุการณ์ตึกเวลเทรดถล่ม ตลาดหุ้นตกต่ำทั่วโลก ดัชนี SET Index ลงไปที่ 280 ในวันที่ 8 ตุลาคม ได้มีการทดสอบตลาด เพื่อประเมินความต้องการเบื้องต้น

วิธีการทดสอบตลาด

·         สถาบันไทย และนักลงทุนสถาบันต่างประเทศ (เป้าหมายใหญ่สุด) การทดสอบตลาดสำหรับนักลงทุนสถาบันนั้น เรียกว่า Pre-deal marketing ซึ่งก็คือกระบวนการ ที่นักวิเคราะห์ออกไปให้ข้อมูลนักลงทุนสถาบัน ไปเชิญชวนให้สนใจศึกษา สนใจลงทุน พร้อมกับเก็บ feedback เลยว่า ราคาเท่าไหร่ถึงจะยอมลงทุน ดังนั้น Research Analyst ของทั้ง 6 แห่ง (บล.ภัทร บล.ไทยพาณิชย์ บล.ทิสโก้   Lehman Brothers และ Merrill Lynch) จะออกไปพบนักลงทุนสถาบันทั่วโลก เพื่อรวบรวมความสนใจ ตลอดไปจนถึงการหาช่วงราคาที่เหมาะสม

·         ลูกค้าบุคคลที่ซื้อขายหุ้นอยู่แล้ว  จะให้ Underwriter ไทยทั้ง 3 แห่ง (บล.ภัทร บล.ไทยพาณิชย์ บล.ทิสโก้) ทำการสำรวจความเห็น

·         ประชาชนทั่วไปที่มีเงินออมซึ่งปกติไม่ได้เล่นหุ้นจะ ให้ธนาคารสองแห่ง (กรุงไทย กับ ไทยพาณิชย์) ทำการสำรวจความเห็นจากลูกค้าเงินฝากกว่า 5,000 ราย

หลักการ และเป้าประสงค์ในการจัดจำหน่ายหุ้น โดยเฉพาะ IPO

1.     ต้องขายให้หมด

2.     ต้องให้ได้ราคาที่เหมาะสม ราคาไม่ควรจะต่ำไป หรือสูงไป

3.     ต้องให้มีเสถียรภาพของราคาหลังจากเข้าซื้อขาย หลังจากหุ้นเข้าตลาดแล้วจะมีจุดสมดุลราคาประมาณ 5-10% เหนือราคาจอง และมีเสถียรภาพ จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยพื้นฐาน หรือ สภาพตลาด

4.     มีการกระจายที่เหมาะสม แก่นักลงทุนทั้ง 4 กลุ่ม

สาเหตุที่ ทางปตท.และรัฐบาล ก็ตัดสินใจจำหน่ายหุ้น IPO ในราคาหุ้นละ 35 บาทในวันที่ 8 ตุลาคม 2544

    เรื่องแรก ช่วงราคาหุ้น ปตท. ที่จะเสนอขาย ซึ่งได้มีการใช้ทุกวิธีที่จะวิเคราะห์เพื่อให้ได้ราคาดีที่สุด ที่ผู้ซื้อจะยอมรับได้ ทั้การใช้ Discounted Cashflow Model และ Capital Asset Pricing Model อื่นๆ รวมทั้ง การเปรียบเทียบ กับราคาหุ้นอื่น ทั้งในตลาดไทย กับ อุตสาหกรรมเดียวกัน ใน ตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) อื่นๆ เช่น Sinopec, CNOOC, Petro China, Petronas

    ช่วงราคาหุ้น ปตท. ที่ตกลงกำหนดก็คือ 29-35 บาทต่อหุ้น โดยปี 2543 ปตท.มีกำไร แค่ หมื่นล้านบาทเศษๆ ยังมีปัญหาบริษัทในเครืออีกเยอะ หากพิจารณาเปรียบเทียบข้อมูล SET Index ตอนที่จำหน่ายหุ้น IPO อยู่ที่ 280 แต่ปัจจุบันดัชนี SET index อยู่ที่ 1,365 สูงขึ้นเท่ากับ 14.1% ต่อปี ถ้าหุ้นซื้อปตท. ราคา 35 บาท ปัจจุบันราคาหุ้นละ 300 บาท ได้ผลตอบแทนเท่ากับ 19.1% ต่อปี

วิธีการกำหนดราคาหุ้น IPO ของปตท. ในขณะนั้น เป็นวิธีการที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ตามมาตรฐานตลาดทุนโลก ราคาขายสุดท้ายถูกกำหนดจากกระบวนการ Bookbuilding
เรื่องที่สอง การแบ่งจำนวนตาม Tranches ต่างๆ และการกำหนดวิธีการจองหุ้น IPO ของบุคคลไทย ที่ได้จากการสำรวจความเห็น มีดังนี้

1.      สถาบันไทย…กำหนดว่าจะขาย 10% 92 ล้านหุ้นเนื่องจากขนาดนักลงทุนสถาบันไทย ซึ่งได้แก่ กองทุนรวม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กบข. กองทุนประกันสังคม ประกันชีวิต โดยรวมในเวลานั้นยังมีขนาดเล็ก

2.      นักลงทุนบุคคลแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่

1.     พวกที่เป็นนักลงทุนในตลาดอยู่แล้ว (นักเล่นหุ้น) กำหนดไว้ 170 ล้านหุ้น โดย 50 ล้านหุ้นเป็นส่วนที่ทางปตท. จะเป็นผู้จัดสรรให้กับผู้มีอุปการะคุณ ซึ่งได้แก่ คู่ค้า พวกเอเย่นต์ ปั๊มน้ำมัน ฯลฯ ซึ่งก็เป็นไปตามกฎที่ กลต.กำหนดไว้ทุกประการ ส่วน 120 ล้านหุ้นเป็นส่วนที่บริษัทหลักทรัพย์กว่าสิบแห่งจะได้รับไปจัดสรรให้ลูกค้าของตนได้ ซึ่งเป็นไปตามวิธีการจัดจำหน่ายทั่วไป

2.     นักลงทุนบุคคลที่ให้จองผ่านสาขาธนาคาร 5 ธนาคาร กำหนดไว้เริ่มต้นที่ 200 ล้านหุ้น โดยใช้วิธี First Come First Serve คือ ใครมาลงชื่อจ่ายเงินก่อนได้รับจัดสรรก่อน พอจองหมดก็จะหยุดรับจอง แต่อาจจัดสรรให้เพิ่มอีก 130ล้านหุ้นได้ ในกรณีที่มีการจำนวนการจองมาก และพิจารณาแล้วว่าการจองมีคุณภาพ จะรับจองไปจนถึง 350 ล้านหุ้น

3.     นักลงทุนสถาบันต่างประเทศ เป็นเป้าหมายใหญ่ที่สุด ส่วนที่จะขายต่างประเทศ จะเป็นส่วนที่ใช้กำหนดราคา ที่เรียกว่าเป็นวิธี Book-building ซึ่งก็คือ การรวบรวมอุปสงค์ในระดับราคาต่างๆกัน เป็น informal auction นั่นเอง (รวบรวมราคาที่นักลงทุนสถาบันอยากซื้อ มาเป็นข้อมูล) ซึ่งการรวบรวมอุปสงค์นี้จะทำควบคู่กันไปกับการ Roadshow และเก็บอุปสงค์ของสถาบันไทย ส่วนลูกค้าบุคคลธรรมดาจะเป็น Price Taker คือ จ่ายเงินมาที่ราคาสูงสุดก่อน (หุ้นละ 35 บาท) ถ้า Final Price ต่ำกว่านั้นจะคืนเงินให้บางส่วนส่วนต่างประเทศนี้ กำหนดไว้ประมาณครึ่งหนึ่ง 450 ล้านหุ้น แต่ถ้าจำเป็น ก็สามารถเพิ่มได้ไปถึง 600 ล้านหุ้น ในกรณีที่อุปสงค์ในประเทศมีไม่พอ โดยเฉพาะจาก Tranche 2.2 ที่กลัวว่าจะไม่มีคนจองซื้อ // แต่ขณะเดียวกัน ก็สามารถลดลงไปได้ ถ้าอุปสงค์ในประเทศแข็งแรง ส่วนที่ย้ายไปมาได้ประมาณ 15% นี้ เรียกว่า Claw-back Portionในวันที่ 29 ตุลา – 16 พย.2544 เป็นช่วงที่ออก Roadshow ทีมในประเทศนำโดยคุณประเสริฐ บุญสัมพันธ์ เสนอการขายต่อลูกค้าเงินฝากธนาคาร ส่วนทีมใหญ่ ที่ประกอบด้วย ผู้ว่าวิเศษ จูภิบาล CFO พิชัย ชุณหวชิร และ ดร.ปิยสวัสดิ์ อัมระนันท์ เลขาฯกรรมการนโยบายพลังงาน เดินทางทั่วโลก เริ่มที่ Singapore. Hong Kong. London. Edinburgh. Frankfurt. Paris. Boston. San Francisco. LA. แล้วมาจบกำหนดราคาที่ NEW YORK ในวันที่16 พย. 2544

       ในวันที่12 พย. ก่อนถึงกำหนดการจองซื้อของลูกค้ากลุ่ม Tranche 2.2 ที่ผ่านสาขาของธนาคารทั้ง 5 ธนาคาร ได้มีขอลดจำนวนสูงสุดที่แต่ละคนจองได้ลง จากคนละสามแสนหุ้น ลงเหลือแสนเดียว เนื่องจากมีความต้องหุ้นเป็นจำนวนมาก และพอเปิดจอง ก็เป็นดังคาดสาขากว่า 10,000 ของธนาคารทั้ง 5 ส่วนใหญ่ลูกค้าแต่ละคนจองเต็ม 100,000 หุ้น ซึ่งพอเปิดจอง ได้ 1 นาที 17 วินาที ก็ครบ 200,000,000 หุ้น (สองร้อยล้านหุ้น) จึงเปิดการจองหุ้นอีกรอบ พอครบ 350,000,000 หุ้น (สามร้อยห้าสิบล้านหุ้น) จึงหยุดการจอง

การที่มีนักการเมืองจองซื้อได้คนละเป็นจำนวนมากๆ ซึ่งอยู่ในลูกค้ากลุ่ม Tranche 2.1.เนื่องจากในเมืองไทย คนมีเงินมีกระจุกมือเดียว รายชื่อจึงซ้ำไปมาไม่กี่ตระกูล แต่ก็ไม่มีรายใดที่ถูกห้ามซื้อตามกฎหมาย

    จากความสำเร็จในการ Roadshow ทุก Tranche มีคนจองเป็นจำนวนมาก ส่วน ตปท. มีอุปสงค์ถึง 2,000,000,000 หุ้น (สองพันล้านหุ้น) ดังนั้นจึงกำหนดที่ราคาสูงสุดของ Price Range คือ 35 บาทต่อหุ้น ในที่สุดทางกท.อุตสาหกรรม ก็ให้ต่างชาติแค่ 330 ล้านหุ้นคิดเป็น 36% และให้ Tranche ธนาคาร 330 ล้านหุ้นเท่ากัน

บทความดีๆสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ : www.รู้จริงพลังงานไทย.com/ราคาหุ้น-ปตท-การขายหุ้น-ipo/

แหล่งที่มาของข้อมูล : http://samtahantoptt.blogspot.com/2016/04/ipo-2544-3.html

บ้านโมเดิร์น&สวนสวย มาดูแลบ้านและสวนต้อนรับหน้าฝนกันดีกว่า ..

สวนสวยงาม สนามหน้าบ้าน การมีสวนบริเวณรอบๆบ้าน นอกจากจะทำให้ภาพรวมของบ้านสไตล์โมเดิร์นดูครบองค์ประกอบบ้านมากขึ้นแล้วยังทำให้ดูร่มรื่น บ้านเย็นขึ้น การดูแลบำรุงรักษาสวนและต้นไม้จึงสำคัญมาก โดยเฉพาะ “ หน้าฝน ”  ฤดูกาลแห่งความชุ่มชื่นของทุกๆปี ต้นไม้บางชนิดถ้าโดนน้ำฝนหรือรับปริมาณน้ำมากๆ ก็อาจตายได้  เรามาดูแลจัดการบ้านและสวนของเราให้พร้อมที่จะรับมือกับหน้าฝนนี้กันเลยดีกว่า

สิ่งที่ต้องพบเจอเมื่อถึงหน้าฝน/วิธีเตรียมพร้อมรับมือ

1.น้ำขัง มักเกิดขึ้นบนพื้นที่ผิวไม่เรียบบริเวณรอบบ้านที่เป็นพื้นดิน แปลงสวน บริเวณรอบโคนต้นไม้ เจ้าของบ้านต้องหมั่นพรวนดินอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันไม่ให้ดินเกาะตัวแน่นจนอุ้มน้ำเกิดเป็นน้ำขัง เพราะความชื้นที่มากเกินไปจะทำให้รากของต้นไม้เกิดโรค ขึ้นรา และเน่าเสีย

2.ความชื้นของเฟอร์นิเจอร์ในสวน สำหรับบ้านโมเดิร์นที่จัดสวนให้มีมุมนั่งเล่นพักผ่อนหย่อนใจ ควรเก็บเฟอร์นิเจอร์ที่ทำมาจากผ้า ไม้ โซฟา เข้ามาไว้ภายในชายคาบ้านเพื่อหลบฝนและป้องกันความเสียหาย ส่วนเฟอร์นิเจอร์ที่มีส่วนประกอบโลหะต้องทาน้ำยาป้องกันสนิมหรือเคลือบสีใหม่

3.พื้นลื่น พื้นและทางเดินในสวน บ่อเกิดของอุบัติเหตุ ความเสียหาย เป็นสิ่งที่ควรระมัดระวังในหน้าฝนอันดับต้นๆ เมื่อฝนตกพื้นเปียกจนเกิดตะไคร่น้ำ มีวิธีป้องกันง่ายๆโดยการขัดล้างทำความสะอาดพื้นอยู่เสมอหลังฝนตก และทาน้ำยาเคลือบพื้นป้องกันเชื้อรา

4.น้ำโคลน เกิดจากน้ำฝนที่ตกลงมาจากชายคาบ้าน ทำให้ดินโคลนกระเด็นถูกผนังบริเวณนอกบ้าน วิธีแก้ไขปัญหานี้เราสามารถโรยหินกรวดบนพื้นที่แนวน้ำจากชายคาตกลงมา เพื่อช่วยลดแรงกระแทกของน้ำไม่ให้กระเด็นเลอะเทอะ หรืออาจใช้วิธีถาวรโดยทำรางน้ำแล้วต่อท่อมาที่พื้นหรือท่อระบายน้ำก็ได้ นอกจากนี้ยังมีวิธีจากธรรมชาติ ที่สามารถป้องกันได้ตั้งแต่เนิ่นๆ เช่น การปลูกไม้พุ่มเตี้ยไว้รอบๆ บ้าน บริเวณที่มีน้ำตกลงมาจากชายคา ก็ช่วยได้ แถมยังทำให้บ้านโมเดิร์นดูมีทัศนียภาพที่สวยงามอีกด้วย

ได้รู้ถึงสิ่งที่ต้องพบเจอและแนวทางดูแลสวนให้พร้อมเพื่อรับมือกับหน้าฝนกันไปแล้ว สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้เลย นอกจากนี้ยังมีบทความสาระดีๆเกี่ยวกับการดูแลบ้านและสวน,แนวคิดการสร้างบ้าน,การออกแบบบ้าน และเทคนิคต่างๆอีกมากมายสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://goo.gl/pN0n6J

ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตกับทาวน์โฮมใกล้รถไฟฟ้าสีม่วง

 การเลือกบ้านหรือทาวน์โฮมซักหลังไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตเป็นสิ่งที่สำคัญมาก แต่ละครอบครัวจะมีวิถีชีวิตที่ไม่เหมือนกัน ทั้งครอบครัววัยทำงาน ครอบครัวที่อยู่กันแบบครอบครัวใหญ่ บางครอบครัวมีเด็ก แม่บ้าน ผู้สูงอายุ อาจจะต้องเลือกทำเลบ้านให้ดีก่อนตัดสินใจเข้าอยู่อาศัยจริง

ทำเลของบ้าน เป็นสิ่งสำคัญ&ปัจจัยข้อแรกๆในการเลือกซื้อบ้าน บ้านทำเลดีในการเดินทางไปไหนมาไหนก็สะดวกสบาย ด้วยระบบขนส่งสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นรถเมล์ , รถตู้ , รถไฟฟ้าบีทีเอส ,รถไฟฟ้าใต้ดิน , รถไฟฟ้าสายสีม่วง เพราะบ้านที่อยู่ใกล้กับระบบขนส่งสาธารณะสถานีใดสถานีหนึ่งจะสามารถเลือกรูปแบบการเดินทางที่หลากหลาย นอกจากนี้การซื้อบ้านทำเลในเมืองจะส่งผลให้มีมูลค่าเพิ่มในระยะยาวอีกด้วย ยิ่งเป็นบ้านเดี่ยวหรือทาวน์โฮมใกล้รถไฟฟ้าสีม่วงที่สามารถเดินทางไปยังเส้นทางสายหลักที่เชื่อมต่อจุดต่างๆในเมืองได้อย่างง่ายๆ

สภาพแวดล้อมของโครงการ บ้านที่ดีควรอยู่ในทิศทางลมพัดผ่านสะดวก จะทำให้บ้านมีบรรยากาศที่เย็นสบาย แต่ต้องสังเกตสิ่งแวดล้อมรอบๆทั้งภายในและภายนอกโครงการเพื่อการตัดสินใจด้วย ทั้งแหล่งมลภาวะ , มลพิษจากโรงงานในละแวกใกล้เคียง , มลพิษจากเสียง สำหรับทำเลบ้านที่อยู่ใกล้สถานบันเทิง ใกล้ทางขึ้นลงของเครื่องบินและรถไฟ , แนวระบายน้ำสาธารณะ ปัญหาเรื่องกลิ่นเหม็นของน้ำเน่าในอนาคต  

นอกจากนี้ยังมีข้อพิจารณาอีกมากมายก่อนการเลือกซื้อบ้าน เช่น การจัดวางผังโครงการ, ระบบรักษาความปลอดภัย , ระบบสาธารณูปโภค , ความมั่นคงและความเชื่อถือของเจ้าของโครงการ ดังนั้นผู้ที่คิดจะซื้อบ้านควรทำความเข้าใจกับรายละเอียดต่างๆ ให้ละเอียดถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจ สำหรับโครงการบ้านที่มีทำเลดีบนถนนรัตนาธิเบศร์ – ราชพฤกษ์และเป็นโครงการบ้านใกล้รถไฟฟ้าสายสีม่วง ลักษณะบ้านแฝด บ้านเดี่ยว ราชพฤกษ์ก็เป็นอีกหนึ่งทำเลที่น่าใจในเมือง กับโครงการบ้านเปี่ยมสุข รัตนาธิเบศร์ – ราชพฤกษ์ โครงการบ้านสไตล์เซนที่ออกแบบเน้นความเป็นธรรมชาติ อยู่อย่างสงบเรียบง่าย เพราะการตัดสินใจเลือกซื้อที่อยู่อาศัยนอกจากความสะดวกสบายแล้ว ต้องคำนึงถึงความคุ้มค่าทั้งในวันนี้และอนาคตอีกด้วย สามารถเข้าชมโครงการบ้านตัวอย่างและรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : http://goo.gl/RD0rUH

พามาทำความรู้จักภัตตาคารฟุหมานเหลา สุดยอดร้านอาหารจีนระดับตำนาน

อาหารจีนชื่อดังระดับตำนาน ภัตตาคารฟุหมานเหลา ภัตตาคารในโรงแรมชื่อดังย่านปทุมวัน ตั้งอยู่ชั้น 3 ของโรงแรม The Twins Tower Hotel Bangkok ตกแต่งภายในด้วยศิลปะร่วมสมัย แค่ชื่อโรงแรมก็อาจจะคุ้นหูสำหรับใครหลายๆคนกันแล้วนะคะ นอกจากเป็นที่พักรองรับนักท่องเที่ยว ชาวไทยและชาวต่างชาติแล้ว ห้องอาหารที่นี่ไม่ธรรมดา ทั้งลูกค้าชาวไทยและต่างชาติที่ต่างแวะเวียนมาชิมอาหารรสเลิศที่ภัตตาคารแห่งนี้ไม่ขาดสาย ด้วยการเดินทางง่ายๆจาก BTS สถานีสนามกีฬาแห่งชาติ ถ้าเดินทางด้วยรถไฟใต้ดิน MRT ให้ลงที่สถานีหัวลำโพง แหล่ง Shopping หลักๆ เช่น สยามพารากอน,ห้างมาบุญครอง และยังสามารถขับรถยนต์ส่วนตัวมาตามพิกัด ถนนกรุงเกษม แขวงรองเมือง เขตปทุมวัน จะเห็นป้ายของโรงแรม The Twins Tower Hotel Bangkok เป็นอันถึงที่หมาย

เปิดตำนานความอร่อยของภัตตาคารฟุหมานเหลากันด้วยเมนูบุฟเฟ่ต์ติ่มซำ อาหารจีนยอดนิยม ไม่ว่าจะเป็นในยุคสมัยไหน เมนูติ่มซำก็ยังเป็นเมนูที่หลายๆท่านชอบทาน ทั้งทานง่าย ตกแต่งในตะกร้าเล็กๆชิ้นพอดีคำ ด้วยเมนูที่มีมากมายหลายรายการ ได้แก่ ผัดผักน้ำมันหอย, ติ่มซำเนื้อกุ้งเน้นๆ , ซี่โครงหมูอบ, ไก่ทอดกระเทียม, เป็ดกระเทียม, หอยเชลล์, ซุปเยื่อไผ่เห็ดหอม และอื่นๆอีกมากมาย เมนูอาหารรสชาติเยี่ยม พร้อมการบริการจากพนักงานที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น ทำให้บรรยากาศของที่นี่เหมาะแก่การพบปะสังสรรค์ เลี้ยงฉลองในหมู่เพื่อนๆ ญาติพี่น้อง และครอบครัว

สำหรับผู้ที่กำลังมองหาร้านอาหารจีน ภัตตาคารอาหารจีนในโรงแรมสำหรับดินเนอร์ เลี้ยงฉลองในโอกาสต่างๆ ภัตตาคารฟุหมานเหลามีโปรโมชั่นอาหารประจำเดือนกันยายนกับโปรโมชั่น All You Can Eat ร่วมสนุกผ่านช่องทาง Facebook : https://www.facebook.com/TheTwinTowersHotelBangkok/?fref=ts           

เพียงแค่ กด Share แล้ว Print , Save หน้าจอไว้เป็นหลักฐานยืนยันการใช้บริการ จากราคาบุฟเฟ่ต์ติ่มซำ 480 บาท เหลือ เพียง 399 บาท และเมื่อพาเพื่อนๆ ครอบครัว ไปทานครบ 5 ท่านขึ้นไป รับ Gift Voucher รับประทานอาหารนานาชาติที่ห้องอาหารโกลด์ทีค 1 ใบ ฟรีๆไปเลย แต่ต้องสำรองที่นั่งกับทางโรงแรมกันก่อนนะคะ สำรองที่นั่งได้ที่ : 02-216-9555 และสอบถามรายละเอียดโปรโมชั่นห้องอาหารเพิ่มเติมได้ผ่านช่องทาง Social ได้ง่ายๆผ่านช่องทาง

Line : http://line.me/ti/p/%40twintowers

Facebook : https://goo.gl/yEzwST

Web :  goo.gl/UmNRmz

Twitter : https://twitter.com/TwinTowersHotel

Instagram : https://www.instagram.com/thetwintowershotel/

Google+ : https://plus.google.com/u/1/100859960887381454240